วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

โรคถั่วฝักยาว

โรค ถั่วฝักยาว


          โรคถั่วฝักยาวนั้นแม้ว่าจะไม่แสดงอาการของโรคให้เห็นทันทีหลังจากเชื้อโรคเข้าทำลาย หากแต่การทำลายของโรคพืชนั้น สร้างความรุนแรง และความเสียหายได้มาก แก้ไขได้ยากกว่าการทำลายของแมลงศัตรูพืช โรคของถั่วฝักยาวที่สำคัญได้แก่

1. โรคใบจุด




          ถั่วฝักยาวมีโรคใบจุดชนิดหนึ่งทำให้เนื้อเยื่อแผลแห้งเป็นวงกลมหรือเกือบจะกลม สีน้ำตาลตรงกลางแผล มีจุดไข่ปลาสีดำเล็ก ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มของเชื้อรา ที่ขึ้นเป็นกระจุกและเรียงเป็นวงกลมซ้อนกันมองเห็นชัดด้วยตาเปล่า ทำให้มองเห็นแผลเป็นวงกลมซ้อนกันหลายชั้น ขนาดของแผลประมาณ 1-2 เซนติเมตร มักจะเกิดกับใบแก่ที่อยู่ตอนล่าง ๆ
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อรา Cercospora sp.

          ควรพ่นสารป้องกันกำจัดเชื้อราเมื่อพบโรคนี้ โดยใช้สารไดเทนเอ็ม 45 เดอโรซาน บาวิสติน หรือเบนเลท อย่างใดอย่างหนึ่ง อัตราตามข้างฉลากฉีดพ่นทุก 5-7 วัน



2. โรคราสนิม



          อาการปรากฎด้านใต้ใบเป็นจุดสีสนิมหรือน้ำตาลแดง จุดมีขนาดเล็ก ใบที่เป็นโรคมาก จะมองเห็นเป็นผงสีน้ำตาลแดง โรคนี้มักจะเกิดกับใบแก่ทางตอนล่างของลำต้นก่อน แล้วลามขึ้นด้านบน มักจะเริ่มพบเมื่อต้นถั่วอยู่ในระยะออกดอก ถ้าเป็นรุนแรงมากจะทำให้ใบแห้งร่วงหล่นไป
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อรา Uromyces fabae Pers

การป้องกัน
  • ใช้กำมะถันผงชนิดละลายน้ำอัตรา 30-40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร พ่นสัปดาห์ละครั้ง ไม่ควรใช้ในขณะที่แดดร้อนจัด และห้ามผสมสารเคมีชนิดอื่น
  • ใช้สารเคมีแพลนท์แวกซ์ (plantvax) อัตรา 10-20 กรัมน้ำ 20 ลิตร

3.โรคราแป้ง



          อาการมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า บนใบมองเห็นคล้ายมีผงแป้งจับอยู่ ถ้าอาการไม่มากนัก ผงแป้งนี้จะเกาะอยู่บนใบเป็นกลุ่ม ๆ แต่ถ้าเป็นมากจะเห็นผิวใบถูกเคลือบอยู่ด้วยผงแป้งเหล่านี้ อาการที่รุนแรงจะทำให้ใบเหลืองและร่วง โรคนี้มักจะไม่ทำให้ต้นตายอย่างรวดเร็วกว่าปกติ
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อรา Oidium sp.

การป้องกัน
  • ใช้กำมะถันผงเหมือนกับโรคราสนิม
  • ใช้คาราเทนหรือซาพรอน อัตราตามคำแนะนำที่ฉลาก ฉีดพ่น 7-10 วัน

4.โรคใบด่าง



          ถั่วจะแสดงอาการใบด่างเหลืองมากน้อยแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม อาการจะมองเห็นได้ชัดเจนบนใบแก่เป็นสีเขียวเข้มสลับกับสีเหลือง หรือด่างเป็นลาย บางครั้งสีเหลืองอ่อนเกือบเป็นสีขาวสลับกับสีเขียวแก่ของใบ มีทั้งชนิดลายแล้วใบเป็นคลื่นและด่างลายใบเรียบ ใบอาจจะม้วนงอหรือแผ่ตามปกติ ในกรณีที่เป็นโรคอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในระยะต้นอ่อนและตายในที่สุด
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม PVY

การป้องกัน
  • เลือกใช้เมล็ดพันธุ์ที่ปราศจากโรค โดยการเลือกเก็บจากต้นที่ปราศจากโรคใบด่าง
  • ถอนต้นที่มีอาการของโรค ทำลายเผาทิ้ง
  • ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงฉีดพ่นแมลงพาหะ

โรคแตงกวา

โรค แตงกวา

1. โรคราน้ำค้าง (Downy mildew)

 หรือที่เกษตรกรนิยมเรียกว่าโรคใบลาย เกิดจากเชื้อ Psudoperonospora
ลักษณะอาการ 
          เริ่มเป็นจุดสีเหลืองบนใบ แผลนั้นจะขยายออกเป็นเหลี่ยมในระหว่างเส้นใบ ถ้าเป็นมากๆ แผลลามไปทั้งใบทำให้ใบแห้งตาย ในตอนเช้าที่มีหมอกน้ำค้างจัดช่วงหลังฝนตกติดต่อกันทำให้มีความชื้นสูงในบริเวณที่ปลูก จะพบว่าใต้ใบตรงตำแหน่งของแผลจะมีเส้นใยสีขาวเกาะเป็นกลุ่มและมีสปอร์เป็นผงสีดำ
การป้องกันกำจัด 
          คลุกเมล็ดแตงด้วยโคโค-แม็กซ์ก่อนปลูก เมื่อมีโรคระบาดในแปลงและในช่วงนั้นมีหมอกและน้ำค้างมาก ซึ่งควรฉีดพ่นด้วยโคโค-แม็กซ์ อัตรา 5 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 3-5 ชั่วโมง นำไปฉีดพ่นในตอนเย็น ทุก 3-5 วัน กรณีที่มีการระบาด หรือ 7-15 วัน ในกรณีใช้เพื่อเป็นการป้องกัน

2. โรคใบด่าง (Mosaic) 

เชื้อสาเหตุ Cucumber mosaic virus
ลักษณะอาการ
          ใบด่างสีเขียวเข้มสลับสีเขียวอ่อนหรือด่างเขียวสลับเหลืองเนื้อใบตะปุ่มตะป่ำ มีลักษณะนูนเป็นระยะๆ ใบหงิกเสียรูปร่าง
การป้องกันกำจัด 
          ในปัจจุบันยังไม่มีการใช้สารเคมีหรือวิธีการใดๆ ที่จะลดความเสียหายเมื่อโรคนี้ระบาด ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดขณะนี้คือการป้องกันไม่ให้เกิดโรค เช่น เลือกแหล่งปลูกที่ปลอดจากเชื้อไวรัส อาจทำได้โดยเลือกแหล่งปลูกที่ไม่เคยปลูกผักตระกูลแตงมาก่อนและทำความสะอาดแปลงปลูกพร้อมทั้งบริเวณใกล้เคียงให้สะอาดไม่ให้เป็นที่อาศัยของเชื้อและแมลงพาหะ เช่น เพลี้ย ไรแดง แมลงหวี่ขาว ซึ่งแมลงศัตรูพืชสามารถกำจัดได้ด้วยลาเซียน่า อัตรา 3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นในตอนเย็น

3. โรคผลเน่า (Fruit rot)

 เชื้อสาเหตุ Pythium spp., Rhizoctonia solani, Botrytis cinerea 


ลักษณะอาการ
          มักเกิดกับผลที่สัมผัสดิน และผลที่แมลงกัดหรือเจาะทำให้เกิดแผลก่อน จะพบมากในสภาพที่เย็นและชื้น กรณีที่เกิดจากเชื้อพิเที่ยมจะเป็นแผลฉ่ำน้ำเริ่มจากส่วนปลายผล ถ้ามีความชื้นสูงจะมีเส้นใยฟูสีขาวขึ้นคลุม กรณีที่เกิดจากเชื้อไรซ๊อกโทเนียจะเป็นแผลเน่าฉ่ำน้ำบริเวณผิวของผลที่ สัมผัสดิน แผลจะเปลี่ยนจากสีน้ำตาลแก่และมีรอยฉีกของแผลด้วย ส่วนกรณีที่เกิดจากเชื้อโบทริทิ่สนั้น บริเวณส่วนปลายของผลที่เน่า จะมีเชื้อราขึ้นคลุมอยู่
การป้องกันกำจัด 
          ทำลายผลที่เป็นโรค อย่าให้ผลสัมผัสดิน ป้องกันไม่ให้ผลเกิดบาดแผล และควรฉีดพ่นด้วยโคโค-แม็กซ์ อัตรา 5 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 3-5 ชั่วโมง นำไปฉีดพ่นในตอนเย็น ทุก 3-5 วัน ในกรณีที่มีการระบาด หรือ 7-15 วันในกรณีใช้เพื่อเป็นการป้องกัน

4. โรคราแป้ง (Powdery mildew) 

เชื้อสาเหตุ Oidium sp. 

ลักษณะอาการ
          มักเกิดใบล่างก่อนในระยะที่ผลโตแล้ว บนใบจะพบราสีขาวคล้ายผงแป้งคลุมอยู่เป็นหย่อมๆ กระจายทั่วไป เมื่อรุนแรงจะคลุมเต็มผิวใบทำให้ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วแห้งตาย
การป้องกันกำจัด 
          ควรฉีดพ่นด้วยโคโค-แม็กซ์ อัตรา 5 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 3-5 ชั่วโมง นำไปฉีดพ่นในตอนเย็น ทุก 3-5 วัน ในกรณีที่มีการระบาด หรือ 7-15 วัน ในกรณีใช้เพื่อเป็นการป้องกัน

แมลงศัตรูที่สำคัญของแตงกวา 


เพลี้ยไฟแตงกวา
เป็นแมลงขนาดเล็ก มีสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลแก่ พบตามยอดใบอ่อน ดอกและผลอ่อน

การทำลาย 
จะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบ ดอกอ่อน และยอดอ่อนททำให้ใบม้วนหงิกงอเป็นกระจุกผิดรูปร่าง มีสีขีดสลับเขียวเป็นทาง ระบาดมากในช่วงที่มีอากาศแห้งแล้ง
การป้องกันกำจัด 
การรดน้ำโดยใช้บัวรดหรือฉีดด้วยสายยางให้น้ำเป็นฝอยโดนยอดในตอนเช้าและตอนเย็น รวมทั้งการรักษาความชื้นบริเวณแปลงปลูกจะช่วยลดปัญหาของเพลี้ยไฟลงได้
ใช้สารเคมีกำจัดแมลงประเภทคาร์โบฟูราน ได้แก่ ฟูราดาน 3 จี หรือ คูราแทร์ 3 จี ปริมาณ 1 ช้อนชาต่อหลุม ใส่พร้อมกับการหยอดเมล็ดจะป้องกันได้ประมาณ 2 สัปดาห์
กรณีที่เริ่มมีการระบาดให้ใช้สารเคมีกำจัดแมลง ได้แก่ พอสซ์ เมชูโรล แลนเนท ไดคาร์โซล ออลคอลอะโซดริน โตกุไทออนหรือทามารอน เป็นต้น และการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดนั้นควรทำด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ใบอ่อนที่ถูกดูดน้ำเลี้ยงไหม้ได้
เพลี้ยอ่อน 
เป็นแมลงขนาดเล็ก ลำตัวคล้ายผลฝรั่ง มีท่อเล็กๆ ยื่นยาวออกไปทางส่วนท้ายของลำตัว 2 ท่อ เป็นแมลงปากดูด ตัวอ่อนมีสีเขียวอ่อน ตัวแก่สีดำและมีปีก
การทำลาย
จะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบและยอดอ่อน ทำให้ใบม้วนต้นแคระแกร็น และยังเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสด้วย มักระบาดมากในช่วงอากาศร้อนและแห้ง โดยมีมดเป็นตัวนำพาเพลี้ยอ่อนมา
การป้องกันกำจัด
ใช้วิธีเดียวกับการป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ
ไรแดง 
ไม่ได้เป็นแมลงแต่เป็นสัตว์ที่มี 8 ขา มีขนาดเล็กมากมองเห็นเป็นจุดสีแดง
 การทำลาย
จะดูดน้ำเลี้ยงที่ใบและยอดอ่อนทำให้ใบเป็นจุดด่างมีสีซีด จะอาศัยอยู่ใต้ใบและเข้าท้าลายร่วมกับเพลี้ยไฟและเพลี้ยอ่อน มักระบาดมากในช่วงอากาศร้อนและแห้ง
การป้องกันกำจัด
การรดน้ำโดยใช้บัวหรือฉีดด้วยสายยางให้น้ำเป็นฝอยโดนยอดตอนเช้า และตอนเย็น รวมทั้งการรักษาความชื้นบริเวณแปลงปลูกจะช่วยลดปัญหาของไรแดงลงได้ กรณีที่เริ่มมีการระบาดให้ใช้สารเคมีกำจัดแมลง ได้แก่ เดลเทน ไตรไทออน หรือโดไมท์ เป็นต้น
เต่าแตงแดงและเต่าแตงดำ 
เป็นแมลงปีกแข็งปีกขนาดเล็กยาวประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร มีสีส้มแดงและสีดำเข้ม อาศัยอยู่ตามกอข้าวที่เกี่ยวแล้วในนาหรือตามกอหญ้า
การป้องกันกำจัด
ควรทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของแมลงรวมทั้งเศษซากแตงกวาหลังการเก็บเกี่ยว หรือใช้สารเคมีฉีดพ่น ได้แก่ เซฟวินคาร์โบน๊อกซี-85 หรือไบดริน หรือใช้สารเคมีชนิดเม็ด เช่น ฟูราดาน 3 จี หรือคูราแทร์ 3 จี ใส่ลงไปในหลุมปลูกพร้อมกับการหยอดเมล็ด จะป้องกันเต่าแตงได้ประมาณ 2 สัปดาห์
หนอนกินใบแตงและหนอนไถเปลือกหรือหนอนเจาะผล 
หนอนกัดกินใบแตง มีรูปร่างเรียวยาวประมาณ 2 เซนติเมตร สีเขียวอ่อน ตรงกลางสันหลังมีเส้นแถบสีขาวตามยาว 2 เส้น เมื่อตัวเต็มวัยจะเป็นผีเสื้อที่มีปีกโปร่งใสตรงกลาง ส่วนหนอนเจาะผลมีขนาดใหญ่กว่า ลำตัวยาวสีเขียวอ่อนถึงสีน้ำตาลดำ มีรอยต่อปล้องชัดเจน
การทำลาย 
จะกัดกินใบ ไถเปลือกเป็นแผลและเจาะผลเป็นสาเหตุให้โรคอื่นๆ เข้าทำลายต่อได้ เช่น โรคผลเน่า
การป้องกันกำจัด 
ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น อโซดริน แลนเนททามารอน โตกุไอออน หรือ อะโกรน่า เป็นต้น