วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โรคถั่วเขียว


โรคของถั่วเขียว และการป้องกันกำจัด


1. โรคใบจุดสีน้ำตาล (Cercospora Leafs Spot)

โรคนี้พบระบาดในฤดูฝน เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Cercospora canescens Ellis & Martin มักเกิดกับถั่วเขียวอายุตั้งแต่ 2 สัปดาห์ หลังการงอก และมีการระบาดมากในช่วงออกดอกจนถึงระยะที่ใกล้เก็บเกี่ยว ลักษณะของโรค คือ ใบเป็นจุดสีน้ำตาล มีลักษณะค่อนข้างกลม ตรงกลางแผลมองเห็นเป็นเส้นใยสีเทา ขนาดแผลเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 มม. – 5 มม. อาจมีลักษณะเป็นวงสีเหลืองรอบแผล ขณะขยายตัว เมื่อแผลชิดกันจะมีลักษณะสีน้ำตาล ผลของโรค คือ ทำให้ฝักลีบ และมีขนาดเล็ก
การแก้ไขโดยการฉีดสารเคมีพวกท็อกซิน เคลซีน หรือเบนเลท อัตรา 6-12 กรัม หรือ 1-2 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร โดยฉีดพ่นเมื่อถั่วอายุประมาณ 30 วัน หลังงอก และฉีดพ่นทุก ๆ 14 วัน

2. โรคราแป้ง (Powdery Mildrew)

โรคนี้พบการระบาดในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูแล้ง โดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศเย็น เป็นเชื้อราพวก Oidium sp. สปอร์จะได้รับความชื้น และเติบโตสร้างเส้นใยดูดกินน้ำเลี้ยงจากผิวใบของถั่ว ทำให้ใบแห้ง ลักษณะที่พบมักเกิดตามใบล่าง โดยมีเส้นใยของราสีขาวคล้ายผงแป้งบนใบถั่ว ต่อมาใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง และแห้งตาย ต้นถั่วเขียวแคระแกรน หากเกิดโรคในระยะออดอกหรือติดฝัก จะทำให้ผลผลิตน้อยลง
การป้องกันได้หลายวิธี เช่น การกำจัดวัชพืชในแปลง การปลูกถั่วเขียวสลับกับพืชอื่นในระหว่างแถว? ส่วนการใช้สารเคมี จะใช้สารพวกเบนเลท อัตรา 6-12 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น เมื่อถั่วเขียวอายุ 30 วัน หลังงอก และฉีดซ้ำทุก ๆ 14-15

แมลงศัตรูถั่วเขียว และการป้องกันกำจัด

1. หนอนแมลงวันเจาะต้นถั่ว (bean fly) เกิดจากหนอนแมลงที่วางไข่ ( 50-100 ฟอง/ตัว) ในระยะต้นกล้าหลังงอกใหม่ เมื่อฟักตัวเป็นหนอนจะเข้ากัดกินเนื้อเยื่อตามใบ และลำต้น ทำให้ต้นถั่วตาย หากเป็นต้นถั่วโตแล้ว หนอนจะเข้าเจาะกินลำต้นบริเวณยอด ทำให้ยอดเหี่ยวตาย การป้องกัน และกำจัดทำ โดยการหว่านฟูราดาน 3%G อัตรา 3-5 กิโลกรัม/ไร่ ก่อนปลูกหรือหลังปลูก หรือฉีดพ่นด้วยสารโมโนโครโตฟอส 56% WSC อัตรา 15-20 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร หลังการงอก 7 วัน
2. เพลี้ยอ่อน (Aphid) พบระบาดมากในฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วง โดยเพลี้ยจะเข้าดูดกินน้ำเลี้ยงตามยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อน ทำให้ยอดหงิกงอ ดอกร่วง ฝักร่วง และต้นแคระแกรน การป้องกันกำจัด ทำได้โดยการฉีดพ่นด้วยสารโมโนโครโตฟอส์ อัตรา 25-30 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร
3. เพลี้ยไฟ (Thrips) พบระบาดมากในช่วงฝนฝนทิ้งช่วง และแดดร้อน โดยเข้าดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนยอด และดอก ทำให้ยอดหงิกงอ ใบแห้ง ดอกร่วง ฝักอ่อนร่วงหรือลีบ ไม่ติดเมล็ด ป้องกัน และกำจัดโดยวิธีฉีดพ่นด้วยสารโมโนโครโตฟอส 56% WSC อัตรา 25-30 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร
4. หนอนเจาะฝัก (Pod Borers) พบระบาดในปลายฤดูฝนหรือฤดูแล้ง ป้องกัน และกำจัดโดยการฉีดพ่นโมโนโครโตฟอส 56% WSC อัตรา 40-50 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร
5. มอดถั่ว (Bean Seed Beetly) เป็นแมลงที่เข้าทำลายเมล็ดถั่วในระยที่อยู่ในฝัก สามารถติดไปกับเมล็ดในช่วงการเก็บเกี่ยว ทำให้มีการแพร่พันธุ์ และกัดกินเมล็ดขณะเก็บในถุงกระสอบ สามารถป้องกัน และกำจัดได้โดยการคลุกเมล็ดด้วยสารเคมีพวกมาลาไธออนผง หรือสารอลามอน หากต้องการเก็บไว้นาน ส่วนเมล็ดที่เก็บไว้บริโภคนั้นไม่ควรคลุกสารเคมีใดๆ แต่สามารถป้องกันได้โดยการคลุกด้วยน้ำมันถั่วเหลือง ประมาณ 3-5 ซี.ซี./เมล็ด 1 กิโลกรัม

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โรคถั่วเหลือง


โรคใบจุดนูน (Bacterial pastule) พบระบาดในฤดูฝน  
           
                                                     
 เชื้อสาเหตุ เชื้อแบคทีเรีย Xanthomonasaxonopodis pv.glycines 
 ลักษณะอาการ อาการจุดแผลเล็ก ๆ สีน้ำตาลแดงบนใบถั่วเหลือง คล้ายโรคราสนิมของถั่วเหลือง แต่มักมีวงสีเหลืองล้อมรอบ อาการของโรคเมื่อเกิดใหม่ ๆ จะเป็นตุ่มฉ่ำน้ำเล็ก ๆ ใส สีเขียวอ่อน บนบริเวณใบอ่อนที่เกิดใหม่ ต่อมาจุดฉ่ำน้ำแห้งและยุบตัวลงเป็นแผลแห้งตกสะเก็ด พบอาการได้บนกิ่งก้านและขั้วใบทำให้ใบร่วงก่อนกำหนด รอยแผลที่เกิดติดต่อกันบนใบทำให้ใบฉีกขาดเป็นช่องทางให้เชื้อราอื่น เช่น เชื้อราสาเหตุโรคแอนแทรคโนสเข้าซ้ำเติมบนใบพืชได้ง่าย เมื่อต้นถั่วเหลืองหยุดการเกิดใบใหม่ โรคใบจุดนูนนี้จะหยุดการระบาดไปได้เอง 
       การแพร่ระบาด เชื้อแบคทีเรียติดมากับเมล็ดระบาดได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกชุก และลมพัดแรง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบฉีกขาดเกิดบาดแผลบนใบเป็นช่องทางการเข้าทำลายของเชื้อแบคทีเรีย 
       การป้องกันกำจัด 
       1.  ใช้ถั่วเหลืองพันธุ์ต้านทาน เช่น สุโขทัย 1 สุโขทัย 2 
       2.  ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ได้จากแหล่งไม่เป็นโรค มีความงอกสูง 
       3.  ไม่ปลูกถั่วเหลืองติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ 
       4.  ไถพรวนกลบเศษซากพืชให้ลึก ๆ หลังจากพบอาการของโรคใบจุดนูนและมีโรคแอนแทรคโนสเข้าทำลาย 
       5.  ควรป้องกันด้วยการใช้สารเคมี เช่น แมนโคเซบ คาร์เบนดาซิม ในระยะออกดอกและติดฝักอ่อน

 โรคราสนิม (soybean rust)   พบระบาดในฤดูฝน
        เชื้อสาเหตุ  เชื้อรา Phakopsora pachyrhizi 
       
 ลักษณะอาการ อาการเริ่มแรกพบบนใบจริงคู่แรกเมื่อถั่วเหลืองอยู่ในระยะฝักอ่อน โดยพบเป็นแผลจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลแดง ใต้ใบมีขุยสีน้ำตาลแดงของสปอร์ของเชื้อราคล้ายสีสนิม สปอร์จะฟุ้งขึ้นไปยังส่วนบน ๆ ทำให้ใบแห้งเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองและสีน้ำตาลใบร่วงก่อนกำหนด ฝักลีบเล็กและผลผลิตลดลง 20-80 เปอร์เซ็นต์ 
        การแพร่ระบาด เชื้อราระบาดโดยสปอร์ที่พัดมากับลม และฝน การระบาดพบรุนแรงในช่วงฝนตกติดต่อกันและอากาศเย็น 
        การป้องกันกำจัด 
       1.  ใช้ถั่วเหลืองพันธุ์ต้านทาน เช่น สุโขทัย 1 สุโขทัย 2 เชียงใหม่ 60 
       2.  ไม่ปลูกถั่วเหลืองซ้ำที่ติดต่อกันหากพบการระบาดของโรคในระยะออกดอก ควรพ่นสารเคมี แมนโคเซบ หรือ โปรปิโคนาโซล ทุก 5-7 วัน จนถั่วเหลืองมีเมล็ดเต็มฝัก หรือโรคหยุดการระบาด



โรคเน่าดำ (Charcoal rot) พบระบาดในฤดูฝน
      
เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Macrophomina phaseolina 
      ลักษณะอาการ เชื้อราที่ติดมากับเมล็ดหรืออาศัยในดินจะงอกเข้าในต้นพืชได้ตั้งแต่ระยะกล้า และเจริญเติบโตในส่วนของท่อลำเลียงน้ำและอาหารของพืชได้นาน จนถึงระยะต้นถั่วเหลืองติดฝักและระยะสร้างฝัก เชื้อราจะผลิตเมล็ดสเคอโรเตียมลักษณะคล้ายผงถ่านในบริเวณส่วนที่อาศัยอยู่ทำให้เกิด การอุดตันของท่อลำเลียงเป็นสาเหตุของการเหี่ยวและแห้งตาย ลักษณะการเหี่ยวจะค่อย ๆ เกิดทีละน้อย โดยในระยะเริ่มต้นของการเหี่ยวจะสังเกตได้ยากมักพบอาการเมื่อต้นถั่วเหลืองแสดงอาการใบเหลือง ปลายใบแห้งและยืนต้นตาย พันธุ์ถั่วเหลืองที่อ่อนแอจะแสดงการเหี่ยวและตายตั้งแต่ระยะเมล็ดยังไม่เต็มฝัก ทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก พันธุ์ถั่วเหลืองค่อนข้างต้านทานจะพบว่าเมล็ดเล็กลงและผลผลิตลดลง 
       การแพร่ระบาด เชื้อราติดมากับเมล็ด และอาศัยในเศษซากพืชได้เป็นเวลานาน 
       การป้องกันกำจัด 
       1.  เตรียมแปลงให้มีการระบายน้ำดี 
       2.  ใช้เมล็ดพันธุ์จากในแหล่งที่ไม่มีการระบาดของโรค ไม่มีเชื้อจุลินทรีย์ติดมากับเมล็ด และมีความงอกสูง 
       3.  ก่อนปลูกคลุกเมล็ดถั่วเหลืองด้วยสารเคมี เช่น แมนโคเซบ โปรปิโอเนบ อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม 
       4.  ใช้พันธุ์ถั่วเหลืองต้านทานโรค 

       5.  ปลูกพืชหมุนเวียน

โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) พบระบาดในฤดูฝน
      
เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Colletotrichunm dematum 
      ลักษณะอาการ โดยทั่วไปพบอาการบนใบและฝัก อาการที่พบบนใบในระยะแรกพบแผลจุดสีน้ำตาลขนาดเล็ก 2-3 มิลลิเมตร แผลจุดจะมีวงสีเหลืองล้อมรอบและเรียงต่อกันเป็นจุดประแตกไปตามเส้นกลางใบ เส้นแขนงและกระจัดกระจายไปตามพื้นที่ใบเป็นกลุ่ม ๆ คล้ายรอยเปรอะเปื้อนของน้ำหมากทำให้พื้นที่ใบซีดเหลือง (Chlorosis) ถ้าสภาพกาอากาศร้อนชื้น จะพบแผลจุดเกิดขึ้นที่กิ่งก้านและลำต้นเชื้อที่เข้าทำลายเส้นกลางใบของใบอ่อน จะทำให้ใบย่นหงิกงอเนื่องจากเส้นกลางใบถูกทำลายไม่ยืดตัว จึงทำให้ส่วนของพื้นที่ใบที่ขยายตัวไปหงิกงอ อาการที่พบบนฝักจะเกิดเป็นจุดสีน้ำตาลเรียงต่อกัน เป็นรอยขีดบนฝักหรือเป็นกลุ่ม เมื่อแผลได้รับความชื้นสูง จะแผลจะขยายใหญ่ เป็นวงซ้อนกัน และพบ canidia และ acervuli เกิดขึ้นบนรอยแผลนั้น เมล็ดในฝักจะลีบและย่น 
       การแพร่ระบาด เชื้อราสาเหตุโรคแอนแทรคโนสสามารถเข้าทำลายถั่วเหลฝืองได้ทุกระยะการเจริญเติบโต โรคนี้จะระบาดได้ดีในสภาพที่มีความชื้นสูง ทำให้ใบเหลืองร่วง ฝักเป็นแผล เมล็ดลีบ อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดของเชื้ออยู่ระหว่าง 28-34 องศาเซลเซียส เชื้อราติดมากับเมล็ดและระบาดไปกับเมล็ดพันธุ์ได้ดี 
       การป้องกันกำจัด 
       1.  ใช้เมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์จากแหล่งที่ไม่มีโรคระบาด 
       2.  ทำความสะอาดแปลงปลูก ไม่ปลูกถั่วเหลืองชิดเกินไปทำให้ความชื้นในแปลงสูง 
       3.  ปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน 
       4.  ฉีดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรค ได้แก่ แมนโคเซบ เบนโนมิล และมายโคบิวทานิล แมนโคเซบ

โรคใบจุดวง (Target spot)   พบระบาดในฤดูฝน
       
เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Corynespora casiicola 
       ลักษณะอาการ พบรอยแผลเป็นจุดวงซ้อน ๆ กัน ขนาดค่อนข้างใหญ่บนใบถั่วเหลืองใบล่าง ๆ โดยเฉพาะในพุ่มของทรงต้น อาจพบเชื้อสาเหตุได้บนกิ่ง ลำต้นและฝัก 
       การแพร่ระบาด เชื้อราติดมากับเมล็ด งอกเข้าทำลายพืชตั้งแต่เมล็ดถั่วเหลืองเริ่มงอก แล้วจึงปรากฏอาการในช่วงที่มีฝนตกชุก ความชื้นสูงติดต่อกันนาน ๆ และพบรุนแรงในพันธุ์ที่อ่อนแอ ลมและฝนเป็นพาหะนำโรคไปยังแหล่งระบาดใหม่ ๆ 
       การป้องกันกำจัด 
 1.ใช้ถั่วเหลืองพันธุ์ต้านทาน เช่น สุโขทัย 1 สุโขทัย 2 
 2.ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ได้จากแหล่งไม่เป็นโรค มีความงอกสูง 
       3.  ก่อนปลูกคลุกเมล็ดถั่วเหลืองด้วยสารเคมี เช่น เมตาแลกซิล อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม 
       4.  ไถพรวนกลบเศษซากพืชให้ลึก ๆ 
       5.  หากพบการระบาด ใช้สารเคมี เช่น แมนโคเซบ โปรปิโอเนบ หรือ คาร์เบนตาซิม พ่นทุก 7 วัน 1-2 ครั้งต่อฤดู ในระยะที่พบโรครุนแรง

โรคเมล็ดสีม่วง (Purple seed stain)   พบระบาดในฤดูฝน
    
  เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Cercospora kikuchii 
      ลักษณะอาการ อาการบนเมล็ดมีสีชมพู ม่วง ถึงม่วงเข้ม ทั่วไปบนผิวเปลือกของเมล็ด ถ้ารอยสีม่วงครอบคลุมเกินครึ่งหนึ่งของพื้นผิวเมล็ด เมล็ดถั่วเหลืองจะเสียความงอก แต่ถ้าพบเพียงส่วนน้อยเมล็ดจะสามารถงอกได้แต่ต้นกล้าจะไม่แข็งแรง และเป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อราสาเหตุได้ ต่อไปอาจพบว่าเปลือกเมล็ดมีรอยแตกซึ่งจะทำให้เชื้อราชนิดอื่นเข้าทำลายได้ง่ายไม่เหมาะที่จะใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ 
       การแพร่ระบาด เชื้อราที่ติดมากับเมล็ดเจริญเข้าไปในกลีบเลี้ยงและสร้างส่วนขยายพันธุ์ที่ปลิวไปได้ในอากาศระบาดทางน้ำฝนและน้ำชลประทาน เมื่อสปอร์ของเชื้อราเข้าสู่ดอก จะเจริญเข้าไปอาศัยบนเปลือกหุ้มเมล็ดและทำให้เกิดโรคระบาดได้ต่อไป 
       การป้องกันกำจัด 
1.ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ได้จากแหล่งไม่เป็นโรค มีความงอกสูง 
2.ก่อนปลูกคลุกเมล็ดถั่วเหลืองด้วยสารเคมี เช่น เมนโคเซบ อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม 
 3.  แปลงถั่วเหลืองที่ใช้ผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ควรพ่นด้วยสารเคมี เช่น เมนโคเซบ โปรปิโอเนบ หรือ คาร์เบนดาซิม พ่น ทุก 7 วัน 1-2 ครั้งในระยะออกดอกและติดฝักอ่อน

โรคราน้ำค้าง (Downy mildew)  พบระบาดในฤดูแล้ง
     
 เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Peronospora manshurica 
      ลักษณะอาการ อาการจุดฉ่ำน้ำสีเขียวอ่อน ที่พบบนใบเริ่มตั้งแต่ใบจริงคู่แรกเมื่อต้นถั่วเหลืองงอกได้ประมาณ 15 วัน เกิดจากเชื้อราที่ติดมากับเมล็ด เชื้อราผลิตเส้นใยฟูใต้รอยแผลทางด้านใต้ใบสีขาวปนเทาและสร้างส่วนขยายพันธุ์เป็นสปอร์ใส ไม่มีสี สปอร์ของเชื้อรานี้จะระบาดขึ้นใบยังใบอ่อนที่เกิดขึ้นใหม่ การระบาดเกิดขึ้นได้ดีในสภาพอากาศเย็นและชื้น รอยแผลที่เก่ามากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและเป็นสีน้ำตาลแห้งกรอบ ใบจะร่วงเร็วกว่าปกติ ถั่วเหลืองฝักสดและถั่วเหลืองนครสวรรค์ 1อ่อนแอต่อโรคนี้
      การแพร่ระบาด เชื้อราติดมากับเมล็ด แพร่ระบาดโดยลม น้ำฝน 
      การป้องกันกำจัด 
1.ใช้ถั่วเหลืองพันธุ์ต้านทาน เช่น สุโขทัย 1 สุโขทัย 2 เชียงใหม่ 2 เชียงใหม่ 60 
 2.ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ได้จากแหล่งไม่เป็นโรค มีความงอกสูง 
 3.ก่อนปลูกคลุกเมล็ดถั่วเหลืองด้วยสารเคมี เช่น เมตาแลกซิล อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม 
4.ไถพรวนกลบเศษซากพืชให้ลึก ๆ 
5.หากพบการระบาด ใช้สารเคมี เช่น เมนโคเซบ โปรปิโอเนบ คลอโรทาโลนิล หรือเมตาแลกซิลผสมแมนโคเซบ พ่น ทุก 7 วัน 2-3 ครั้งต่อฤดู ในระยะที่พบโรครุนแรง


โรคใบยอดย่น (Crinkle leaf virus)   พบระบาดในฤดูแล้ง
      
เชื้อสาเหตุ ไวรัสใบยอดย่นถั่วเหลือง (Soybean crinkle leaf virus) 
      ลักษณะอาการ ใบยอดสีเขียวอ่อนเส้นใบสีเหลือง ขนาดเล็ก หดย่นและโค้งงอขึ้นหรือลง บางครั้งใบมีแถบสีเขียวเข้ม ตามแนวเส้นใบ หดย่นและโค้งงอ ใบแก่มีสีเขียวเข้ม หดย่น เส้นใต้ใบมักมีสีเขียวและนูนออกมาเป็นติ่ง ถ้าเป็นโรครุนแรง ต้นเตี้ยแคระแกรน ฝักบิดเบี้ยว ผิวฝักย่น และแก่ช้ากว่าปกติ 
      การแพร่ระบาด โรคนี้พบระบาดมากในฤดูแล้ง โดยมีแมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นพาหะ แมลงใช้เวลานานเป็นชั่วโมง-วัน ในการรับและถ่ายทอดไวรัส โดยไวรัสต้องเข้าไปอยู่ในตัวแมลงนาน 8-10 ชั่วโมง จึงจะมีประสิทธิภาพในการเข้าทำลายพืชได้ และไวรัสอาศัยอยู่ในตัวแมลงได้นาน 9 วัน หลังจากได้รับเชื้อแล้ว ไม่ถ่ายทอดทางเมล็ดและโดยวิธีกล แต่ถ่ายทอดได้โดยการทาบกิ่ง มีพืชอาศัยค่อนข้างกว้าง ทั้งในตระกูลถั่ว ตระกูลยาสูบ และตระกูลมะเขือ เช่น มะเขือเทศ ยาสูบ และถั่วผี สำหรับพันธุ์ถั่วเหลือง และถั่วเหลืองฝักสด ส่วนใหญ่อ่อนแอต่อโรคนี้ โดยเฉพาะถั่วเหลืองฝักสด ทำให้ฝักหดย่นและบิดเบี้ยว ไม่ได้ขนาดตามมาตรฐานที่ตลาดต่างประเทศกำหนด
      การป้องกันกำจัด 
       1.  ถอนต้นเป็นโรคทิ้งทุกระยะการเจริญเติบโตเพื่อกำจัดแหล่งสะสมของไวรัส 
       2.  กำจัดวัชพืชรอบแปลงปลูก เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งอาศัยของโรคและแมลงพาหะ 
       3. ไม่ปลูกถั่วเหลืองใกล้กับแปลงมะเขือเทศและยาสูบ ซึ่งเป็นพืชอาศัยที่สำคัญของโรคนี้ 
       4.  ติดกับดักกาวเหนียวสีเหลืองรอบแปลงถั่วเหลือง เพื่อเตือนการระบาดของแมลงหวี่ขาว 
       5.  ฉีดพ่นสารฆ่าแมลงใต้ใบเมื่อพบแมลงหวี่ขาวระบาดมาก เช่น อิมิดาโคสพริล หรือไตรอะโซฟอส หรือ คาร์โบซัลเฟน หรือปิโตเลียม ออยล์ หรือ ปิโตเลียม ออยล์ 2-3 ครั้ง ห่างกัน 7-10 วัน และไม่ควรพ่นสารฆ่าแมลงชนิดใดชนิดหนึ่งติดต่อกันหลายครั้ง

โรคใบด่าง(Soybean mosaic virus)  พบระบาดในฤดูแล้ง
      
เชื้อสาเหตุ เชื้อ Virus ใบด่างถั่วเหลือง (soybean mosaic virus) 
      ลักษณะอาการ เริ่มจากเส้นใบย่อยของใบยอดมีสีเขียวอ่อน ต่อมาใบมีอาการด่าง ผิวใบขรุขระมีตุ่มนูนเป็นสีเขียวเข้ม และขอบใบม้วนงอลง ทำให้ใบมีรูปร่างบิดเบี้ยว ในถั่วเหลืองบางพันธุ์พบอาการใบไหม้และยอดไหม้ ถ้าเป็นโรครุนแรง ต้นเตี้ยแคระแกรน ข้อปล้องสั้น เมล็ดจากต้นเป็นโรคมักแสดงอาการด่างเป็นขีดหรือแถบตามสีของตา (hilum) เมล็ด เช่น สีดำหรือสีน้ำตาล 
        การแพร่ระบาด โรคนี้ถ่ายทอดได้ง่ายโดยการปลูกเชื้อแบบวิธีกล สำหรับการแพร่ระบาดตามธรรมชาติเกิดจากการถ่ายทอดโรคทางเมล็ด ซึ่งมีอัตรา 1.8-29.6 เปอร์เซ็นต์ และมีเพลี้ยอ่อนหลายชนิดเป็นพาหะ เช่น เพลี้ยอ่อนถั่ว (Aphis craccivora) เพลี้ยอ่อนถั่วเหลือง (Aglycines)เพลี้ยอ่อนฝ้าย (A.gossypii) และเพลี้ยอ่อนยาสูบ (Myzus persicae) ซึ่งใช้เวลาในการถ่ายทอดไวรัสเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น (แบบ non-persistent) พืชอาศัยส่วนใหญ่อยู่ในตระกูลถั่ว เช่น ถั่วแขก และถั่วแปบ พันธุ์ถั่วเหลืองที่นิยมปลูกเป็นการค้าส่วนใหญ่อ่อนแอต่อโรคนี้ เช่น พันธุ์ สจ.5 และเชียงใหม่ 60 
        การป้องกันกำจัด 
1.ใช้พันธุ์ต้านทาน พบว่า ถั่วเหลืองที่มีใบแคบเรียวยาว เช่น พันธุ์สุโขทัย 1 มีความต้านทานต่อโรคสูง 
       2.  เลือกเมล็ดพันธุ์ปราศจากโรคมาปลูก 
       3.  หมั่นตรวจสอบแปลงปลูก ถ้าพบต้นที่เป็นโรคให้รีบถอนและทำลายทันที 
       4.  ควรกำจัดวัชพืช และพืชอาศัยโดยเฉพาะพืชที่อยู่ในตระกูลถั่ว เช่น ถั่วผี ขี้เหล็กเทศ และโสนผี เพื่อกำจัดแหล่งสะสมของเชื้อและแมลงพาหะ 
       5.  การใช้สารฆ่าแมลงเพื่อป้องกันกำจัดเพลี้ยอ่อน ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ใช้อย่างพร่ำเพรื่อ เพราะการพ่นสารเคมีเหล่านี้สามารถทำลายแมลงศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยอ่อนได้ เช่น ด้วงเต่า แมลงช้าง และอาจไปกระตุ้นให้แมลงเกิดการเคลื่อนย้ายเร็วกว่าปกติ เป็นสาเหตุให้โรคแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เมื่อพบเพลี้ยอ่อนระบาดมากควรฉีดพ่นด้วย คาร์โบซันแฟน หรือไตรอะโซศฟอส หรือ แลมบ์ดาไซฮาโลทริน 1-2 ครั้ง ห่างกัน 7-10 วัน

 โรครากเน่าและเน่าคอดิน (Damping off, Root rot) พบระบาดในฤดูฝน                                        
        เชื้อสาเหตุ เชื้อจุลินทรีย์ที่ติดมากับเมล็ด ได้แก่ เชื้อรา Pythium aphanidermatum, Phomopsis sp. Colletotrichum dematium, Cerospora kikuchii, C. sojae, Sclerotium rolfsii และเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis 
        ลักษณะอาการ เชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis ทำให้เมล็ดถั่วเหลืองเน่าก่อนงอก หรือต้นถั่วเหลืองตายก่อนงอกพ้นดิน ต้นกล้าแสดงอาการเหี่ยวและเน่าตายในเวลาต่อมา ถ้าอาการเน่าเกิดจากเชื้อรา Pythium aphanidermatum จะพบเส้นใยสีขาวฟู บริเวณโคนต้น อาการที่เกิดจากเชื้อรา Phomopsis sp และ colletotrichum dematium  จะพบจุดแผลเล็ก ๆ สีน้ำตาลเข้มปนดำบนกลีบเลี้ยง ซึ่งต่อมาจะพบส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อราในรอยแผลนั้น และเป็นต้นกำเนิดการแพร่ระบาดในแปลงปลูก ส่วนเชื้อรา Cerospora kikuchii และ C. Sojae ที่ติดมากับเมล็ดไม่ทำให้ความงอกลดลงแต่ต้นกล้าที่มีเขื้อรานี้จะเติบโตไม่สมบูรณ์ อาการเน่าที่เกิดจากเชื้อรา Sclerotium rolfsii พบเส้นใยค่อนข้างหยาบสีขาว ต่อมาเส้นในพันกันเป็นเม็ดสีน้ำตาลอ่อนหรือ สีน้ำตาลเข้มบริเวณโคนต้นระดับดิน 
        การแพร่ระบาด เชื้อราติดมากับเมล็ดหรืออยู่ในดิน ระบาดโดยน้ำชลประทาน ลม และฝน 
        การป้องกันกำจัด 
       1.  เตรียมแปลงให้มีการระบายน้ำดี 
       2.  ใช้เมล็ดพันธุ์ดีจากแหล่งที่ไม่มีการระบาดของโรค ไม่มีเชื้อจุลินทรีย์ติดมากับเมล็ด และมีความงอกสูง 
       3.  ก่อนปลูกคลุกเมล็ดถั่วเหลืองด้วยสารเคมี เช่น  แมนโคเซบ โปรปิโอเนบ อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม


 โรคใบติด (Wet rot/Web blight) พบระบาดในฤดูฝน
      เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Rhizoctonia solani 
      ลักษณะอาการ มองเห็นเส้นใยสีขาวของเชื้อราเจริญบนใบ ในพุ่มถั่วเหลืองที่มีความชื้นสูง เส้นใยเจริญปกคลุมบนใบและลามต่อไปยังใบข้างเคียงเกิดเป็นร่างแหคล้ายใยแมงมุม และดึงใบที่อยู่ใกล้กันมาติดกันเป็นกลุ่ม ใบที่เป็นโรคจะเหี่ยวและแห้งตาย เมื่อเชื้อราเจริญขึ้นไปถึงใบยอดต้นถั่วเหลืองจะยุบลงและตายเป็นหย่อม ๆ 
      การแพร่ระบาด เชื้อราอาศัยอยู่ในดินและเศษซากพืช ถูกแรงกระแทกของน้ำฝนกระเด็นขึ้นไปบนใบถั่วเหลืองระดับล่าง ๆ เมื่อเชื้อราแก่และหมดอาหาร เส้นใยจะมัดรวมกันเป็นเม็ดเล็ก ๆ แข็ง ๆ รูปร่างไม่แน่นอน อาศัยอยู่ในดินได้นาน และรอเข้าทำลายต้นถั่วเหลืองในฤดูต่อไป 
      การป้องกันกำจัด 
       1.  เตรียมแปลงปลูกโดยการไถตามหน้าดินก่อนปลูก 
       2.  ปลูกพืชหมุนเวียน 
       3.  อย่าปลูกถั่วเหลืองแน่นเกินไป 
       4.  ตัดต้นถั่วเหลืองที่แสดงอาการออก นำไปทำลาย โดยการเผาไฟ

โรคใบจุดที่เกิดจากเชื้อราสาเหตุต่างๆ
เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Alternaria alternata  เชื้อรา Cercospora sojae 
       ลักษณะอาการ จุดแผลบนใบสีน้ำตาลอมแดง ค่อนข้างเหลี่ยมไปตามขอบของเส้นใบ เมื่อรอยแผลมีอายุมากขึ้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม แผลแห้งยุบตัวและสร้างสปอร์ของเชื้อรา ระบาดได้ทางลม 
       การแพร่ระบาด เชื้อราติดมากับเมล็ด อาการในแปลงปลูกเกิดจากการระบาดโดยน้ำฝน ลมและแมลง 
       การป้องกันกำจัด 
       1.  ใช้ถั่วเหลืองพันธุ์ต้านทาน 
       2.  ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ได้จากแหล่งไม่เป็นโรค มีความงอกสูง 
       3.  ก่อนปลูกคลุกเมล็ดถั่วเหลืองด้วยสารเคมี เช่น คาร์เบนดาซิม อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โรคข้าวโพด




โรคราน้ำค้าง (Peronosclerospora sorghi)
             เข้าทำลายข้าวโพดตั้งแต่งอกจนถึงอายุประมาณ 1 เดือน ในระยะที่มีฝนตกชุก ลักษณะอาการเป็นทางยาวสีเหลืองแคบ ๆ ไปตามความยาวของใบ หรือเป็นแบบsystemic เห็นเป็นทางลายสีเหลือง เขียวอ่อน เขียวแก่ สลับกันเป็นทางยาว เมื่อนานเข้า รอยสีเหลืองจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเกิดเป็นอาการใบไหม้ แห้งตายในที่สุด บริเวณผิวใบ โดยเฉพาะด้านล่างจะมีเส้นใยสีขาวของเชื้อรา จับเป็นฝ้าเห็นได้ชัดเจนในตอนเช้าตรู่ซึ่งมีน้ำค้างจัด ลำต้นแคระแกรน ต้นเตี้ย ใบผอม ข้อสั้น ฝักมักมีขนาดเล็กลง เมล็ดติดน้อยหรือไม่ติดเลย ช่อดอกหรือยอดอาจจะแตกเป็นพุ่ม
“ โรคราน้ำค้าง (Downy Mildew) ” หรือโรคใบลาย เป็นโรคที่ทำความเสียหายให้แก่ข้าวโพดอย่างใหญ่หลวง ทำให้ผลผลิตของข้าวโพดลดลงมาก บางครั้งทำให้การปลูกข้าวโพดไม่ได้ผลเลย
โรคราน้ำค้าง เกิดจากเชื้อรา Peronospora manshurica (Aoum) syd.ex Gaum พบครั้งแรกที่จังหวัดนครสวรรค์เมื่อปี 2511 และในปีต่อมาได้ระบาดไปพื้นที่อื่นๆ อย่างรวดเร็ว ขณะนี้มีพบระบาดเกือบทุกจังหวัดที่มีการปลูกข้าวโพด ซึ่งโรคนี้เป็นได้กับข้าวโพดทุกสายพันธุ์ เช่น พันธุ์ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดเทียน ข้าวโพดข้าวเหนียว และพันธุ์พระพุทธบาท 5 เป็นต้น
อาการของโรค เห็นได้ค่อนข้างชัดเจน ถึงแม้จะมีอาการของโรคบางชนิดเหมือนอาการขาดอาหารพืชบางอย่าง แต่ก็มีความแตกต่างเห็นได้ง่าย และถ้ามีโอกาสเห็นจากของจริงเพียงครั้งเดียวก้จำได้ อาการที่สำคัญของโรคดังนี้
  1. บริเวณใบข้าวโพดตามทางยาวจะมีทางลายสีเหลือง สีเขียวอ่อน และสีเขียวแก่สลับกันอย่างไม่เป็นระเบียบ อาการนี้จะปรากฏเมื่อข้าวโพดมีอายุตั้งแต่ 1 สัปดาห์ขึ้นไป และเมื่อเป็นนานเข้าตามรอยที่มีสีเหลืองอาจเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และมีอาการใบไหม้แห้งตายในที่สุด
  2. บริเวณผิวใบที่มีอาการผิดปกติโดยเฉพาะด้านล่าง จะมีใยสีขาวเป็นเชื้อราจับเป็นฝ้าคล้ายหยากไย่ มองเห็นชัดด้วนตาเปล่า และจะพบมากในเวลาใกล้รุ้ง ซึ่งมีน้ำค้างมากและอากาศค่อนข้างเย็น
  3. ข้าวโพดต้นจะมีปล้องสั้นลง มีฝักดกบางที่มีมากกว่า 5 ฝัก แต่เป็นฝักที่ไม่ติดเมล็ด มีแต่เปลือกที่มีลักษณะคล้ายใบและต้นข้าวโพดจะเล็กแคระแกรน
  4. ข้าวโพดบางต้นจะมีปล้องยาวชะลูด ทำให้มีลำต้นสูงกว่าปกติ ใบและขนาดของฝักก็จะยาวผิดปกติ แต่เป็นฝักที่ไม่ติดเมล็ด
  5. ดอกตัวผู้ซึ้งอยู่ที่ปลายต้นของข้าวโพดบางต้น จะแตกแขนงออกเป็นใบเล็กๆ เป็นช่อมีลักษณะคล้ายไม้กวาดหรือหญ้าหงอนไก่ และจะไม่มีฝัก
Downy Mildew 1Downy Mildew 2
สภาพที่เหมาะแก่การระบาดและแพร่เชื้อของโรคราน้ำค้าง
  1. เชื้อโรคนี้จะระบาดลุกลามได้ดีในระยะที่ฝนตกชุก ดินและอากาศมีความชุมชื้นสูง หรือดินมีน้ำขังและช่วงใกล้ๆ รุ่งสว่าง ซึ่งมีน้ำค้างตกชุกและอากาศค่อนข้างเย็นจัด
  2. เชื้อโรคจะปลิวไปตามลม ฉะนั้นต้นและใบข้าวโพดที่กำลังแสดงอาการโรคนี้จะเป็นแหล่งแพร่เชื้ออย่างดี ส่วนใหญ่เชื้อโรคจะเข้าทำลายต้นข้าวโพดในระยะตั้งแต่เริ่มงอกจนถึงอายุประมาณ 1 เดือนแต่บางทีก็แก่กว่านี้
  3. เชื้อโรคอาจจะอาศัยข้ามปีอยู่ในรากของต้นข้าวโพดที่เคยเป็นโรค ทั้งพวกที่อยู่บนดินหรือไถ่กลบอยู่ใต้ดิน
  4. เชื้อโรคอาจอาศัยข้ามปีอยู่ในวัชพืชพื้นเมือง เช่น อ้อ พง แขม เดือยน้ำ หญ้าหางหมาขาว ข้าวฟ่างหางกระรอก เป็นต้น ที่ขึ้นอยู่ในแปลงหรือใกล้เคียงกับแปลงข้าวโพด พืชเหล่านี้เมื่อเป็นโรคราน้ำค้างจะมีอาการคล้ายคลึงกับอาการของข้าวโพด
วิธีป้องกันและรักษา
  1. ควรปลูกข้าวโพดตั้งแต่ต้นฤดู ไม่ควรปลูกข้าวโพดในระยะที่มีฝนตกชุกจนเกินไป หรือปลูกปลายฤดูฝน (หลังกรกฏาคม) และไม่ควรปลูกข้าวโพดในบริเวณที่มีน้ำขังและระบายน้ำไม่ได้ เพราะเชื้อโรคนี้ระบาดได้ง่ายในสภาพเช่นนั้น
  2. ในเขตที่ไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน ควรศึกษาให้รู้จักกับอาการของโรคนี้ ถ้าหากพบเพียงจำน้อยให้ถอนทิ้งแล้วนำไปเผาไฟเสีย ข้าวโพดที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการให้เห็นในระยะ 1-6 สัปดาห์หลังจากงอก จึงควรหมั่นตรวจแปลงอยู่เสมอ
  3. เมล็ดพันธุ์ที่ใช้ควารเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ตากแห้งสนิท
  4. ควรปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์ที่มีความงอกสูงและแข็งแรง
  5. ไม่ควรนำเมล็ดพันธุ์มาจากเขตปลูกข้าวโพดที่มีการระบาดของเชื้อโรค
  6. เนื่องจากต้นข้าวโพดอ่อนจะติดเชื้อได้ง่ายมาก ฉะนั้นหากบริเวณรัศมีโดยรอบมีต้นข้าวโพดหรือพืชชนิดอื่นที่ขึ้นเอง หรือหลงค้างแปลงอยู่กำลังเป็นโรคนี้ จะต้องทำลายหรือไถ่ทิ้งให้หมดเสียก่อน หรือถ้าพบว่าบริเวณใกล้เคียงมีไร่ข้าวโพดของเพื่อนบ้านเป็นโรคนี้จำนวนมากไม่ควรปลูกข้าวโพดระยะนั้นเด็ดขาด ควรปลูกพืชอื่นแทน
  7. สามารถปฏิบัติได้ควรเปลี่ยนแปลงข้าวโพดที่เคยเป็นโรคราน้ำคางเมื่อฤดูที่แล้วไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน เช่น ข้าวฟ่าง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และถั่วเขียว เป็นต้น
  8. ใช้พันธุ์ต้านทาน ปัจจุบันพบว่า ข้าวโพดพันธุ์สุวรรณ 1 พันธุ์สุวรรณ 2 และพันธุ์ไทย DMR 6 เป็นพันธุ์ที่ต้านทานต่อโรคราน้ำค้างดีกว่าพันธุ์อื่นๆ
  9. ใช้ยาเคมี เอพรอน 35% คลุกเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดก่อนปลูกในอัตรายาเคมี 7 กรัม ต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม 
เรียบเรียงโดย นักวิชาการฝ่ายโรคพืช กองป้องกันกำจัดศัตรูพืช กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, พิมพ์ครั้งที่ 5 ฉบับที่ 4/2524

โรคราสนิม (Puccinia polysora)
             
ปัจจุบันเป็นโรคที่มีความสำคัญที่สุด ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตข้าวโพดที่มีการปลูกอย่างต่อเนื่อง เข้าทำลายข้าวโพดในระยะออกดอก รุนแรงที่สุดในฤดูปลายฝน (ส.ค. – พ.ย.) ลักษณะแผลเป็นตุ่มสีน้ำตาลแดงนูนจากผิว ลักษณะแผลค่อนข้างกลมถึงรูปไข่ แผลจะนูนทั้งสองด้านของใบ เมื่อเกิดมากขึ้นจะดันโป่งออก เมื่อเจริญเต็มที่ตรงกลางแผลก็จะปริแยกออก สีส้มคล้ายสนิมเหล็ก ใบข้าวโพดที่เกิดแผลมากขึ้นจะซีดเหลืองและแห้งในที่สุด ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม พันธุ์อ่อนแอ ใบจะไหม้แห้งภายใน 1 สัปดาห์

โรคใบไหม้แผลเล็ก (Bipolaris maydis)

             เข้าทำลายข้าวโพดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สภาพอากาศร้อนชื้น ลักษณะอาการแผลจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามความยาวของใบ ขอบแผลเป็นสีน้ำตาลแดงไม่เรียบสม่ำเสมอ และถูกจำกัดด้วยเส้นใบ เมื่อเป็นหลาย ๆ แผลเกิดติดต่อกันจะทำให้เกิดใบไม้ นอกจากนี้ ยังเป็นได้กับส่วนอื่น ๆ อีก เช่น กาบใบ กาบฝัก ลำต้น และฝัก

โรคใบไหม้แผลใหญ่ (Bipolaris turcica)
เข้าทำลายข้าวโพดในระยะออกดอก รุนแรงที่สุดในฤดูแล้ง (ธ.ค. – มี.ค.) แต่ปัจจุบันเข้าทำลายได้ทุกฤดู ลักษณะอาการระยะแรกจะเหมือนกับใบไหม้แผลเล็ก ต่อมาขยายใหญ่ขึ้น เนื้อเยื่อบริเวณแผลเริ่มแห้งตายเป็นสีน้ำตาล หรือสีเขียวเทา ลักษณะแผลไม่ถูกจำกัดด้วยเส้นใบ ขอบแผลเรียบสม่ำเสมอ เมื่อเกิดแผลติดต่อกันหลาย ๆ แผลทำให้ใบไหม้ไปทั้งใบได้

โรคใบจุด (Bipolaris zeicola)
             เป็นโรคที่สำคัญโรคหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเข้าทำลายข้าวโพดในฤดูแล้ง (ธ.ค. – มี.ค.) สามารถเข้าทำลายได้ทุกส่วนของข้าวโพดและทุกระยะการเจริญเติบโต ตั้งแต่ต้นเล็กจนถึงระยะออกดอก อาการที่ใบจะเป็นจุดสีเหลืองถึงสีน้ำตาลขนาดเล็ก มีวงแหวนสีเหลืองล้อมรอบ เมื่อมีหลาย ๆ แผลติดกันทำให้ใบไหม้ไปทั้งใบได้

โรคใบจุดสีน้ำตาล (Physoderma maydis)       




โดยปกติพบได้ทั่วไปบริเวณเส้นกลางใบ จะเห็นเป็นจุดสีน้ำตาลเข้ม ภายหลังเชื้อเข้าทำลายจะทำให้ใบหักพับ แต่ในพันธุ์ที่อ่อนแอ แผลจะเกิดขึ้นบนพื้นที่ใบจะเห็นรอยจุดติด ๆ กันเป็นปื้นสีน้ำตาลเข้มทำให้ใบไหม้ นอกจากนั้นจะเห็นที่กาบใบ ลำต้น เปลือกหุ้มฝัก และช่อดอก อาการจะรุนแรงระยะออกดอก ทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก







โรคกาบและใบไหม้ (Rhizoctonia solani)   


 เข้าทำลายข้าวโพดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต ตั้งแต่ระยะกล้า โคนต้นมีลักษณะช้ำฉ่ำน้ำ ลำต้นหักพับ ระยะต้นโต เชื้อรานี้เข้าทำลายได้ทุกส่วนของข้าวโพด ใบ กาบใบ กาบฝัก เปลือกหุ้มฝัก ลักษณะแผลบนใบ มีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ขอบสีน้ำตาลและไหม้แห้ง ใต้ใบบริเวณแผลจะเห็นเส้นใย อัดเม็ดกลม ๆ กระจายอยู่ทั่วไป



โรคไวรัส SCMV & MDMV
             SCMV คือ โรคไวรัสใบด่างอ้อย ลักษณะอาการ ใบด่างเป็นขีดเล็ก ๆ สีขาว หรือเหลืองสลับเขียว ขนานไปกับเส้นกาบใบ ในระยะต้นโต ที่ฝักข้าวโพดจะพบเปลือกเป็นสีขาวตั้งแต่ฝักเล็กจนถึงฝักใหญ่
             MDMV คือ โรคไวรัสใบด่างแคระ ลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ ประตามความยาวของใบ โดยเฉพาะที่ใบอ่อน ถ้าเป็นในระยะต้นเล็ก จะทำให้ต้นแคระแกรน ข้อสั้น ใบเขียวเข้ม ถ้าเข้าทำลายในระยะต้นโต จะทำให้ใบเหลืองซีด ชะงักการเจริญเติบโต

โรคลำต้นเน่า (Fusarium moniliforme)
             



โรคนี้เข้าทำลายทั้งต้นอ่อน ต้นแก่ และฝัก อาการที่ฝักจะเห็นเส้นใยสีขาวเน่าไปทั้งฝักได้ ที่ลำต้นภายหลังเชื้อเข้าทำลาย ต้นจะเหี่ยว ดูลักษณะภายนอกลำต้นปล้องล่าง ๆ จะเห็นเป็นขีด ๆ รอบลำต้น ฉีกลำต้นดูเนื้อเยื่อภายในจะเป็นสีชมพู ถ้าความชื้นเหมาะสม ส่วนที่ถูกทำลายจะเป็นสีม่วง ขณะต้นเริ่มแสดงอาการ เหี่ยว ใช้มือโยกลำต้นจะหักบริเวณโคนต้น และต้นจะแห้งตาย



ชื่อการค้า
ชื่อสามัญ
อัตรา(กรัม / น้ำ 20 ลิตร)
ระยะเวลาที่ spray (อายุพืช)
บริษัท
โรคใบไหม้แผลเล็ก (southern leaf blight) เข้าทำลายทุกระยะการเจริญเติบโต
Zinfez
Antracol 70 % WP
Benlate
Zineb
Propineb
Benomyl
40
20
20
28,35,45 และ 52
บ.เอฟ.อี.ซิลลิค
บ. ไบเออร์
บ. ดูปองต์
โรคใบจุด (carbonum leat spot) เข้าทำลายทุกระยะการเจริญเติบโต
Siam - maneb 80 % WP
ไซมอกซา
Manganese - ethylenebis
45
40
28,35,45 และ 52

บ. สยามแอ็ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
โรคใบไหม้แผลใหญ่ (northern leaf blight) เข้าทำลายในระยะออกดอก
Lonacol
Zinfez
Antracol 70 % WP
Zineb
Zineb
Propineb
40
40
30
ปกติ 42 และ 49 วัน
ฤดู Dry season ให้ spray
ที่ 35 และ 42
บ. ไบเออร์
บ. เอฟ.อี.ซิลลิค
บ. ไบเออร์
โรคราสนิม (rust) เข้าทำลายในระยะออกดอก
Score 250
อามูเล่ 300 อีซ
ECdifenoconazole
โพรพิโคนาโซล + ไดฟีโนโคนาโซล
5 ซีซี
15 ซีซี
ปกติ 42 และ 49 วัน ฤดู Late rainy season ให้ spray ที่ 35 และ 42 วันบ. ซินเจนทา
บ. ซินเจนทา